เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ต.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตอนนี้ทุกข์กันหมด ทุกข์กันทั่วประเทศ มันไม่ใช่เฉพาะท่วมที่นี่ มันทั่วภูมิภาค ถ้ามันท่วมภูมิภาค เห็นไหม ดูสิดูน้ำใจของคน เวลาเขาพูดกันนะ เขาบอกว่าสึนามิญี่ปุ่น ดูประชาชนของเขามีวินัยกว่าเราเยอะนัก แต่การว่ามีวินัยนี้คือการฝึกมา แต่ของเราดูค่าน้ำใจสิ เวลาคนเขาไปช่วยเหลือกัน จิตอาสาไง

คนที่จิตอาสาเวลาไปช่วยกัน เห็นไหม นี่ค่าน้ำใจ แต่ถ้าคนจิตอาสาที่เขาไม่โดนอุทกภัย เขาไปช่วยกันเพราะเขาไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง แต่คนที่น่าเห็นใจที่สุดคือตัวเองก็โดนน้ำท่วม แล้วยังไปช่วยคนอื่นนี่น่าเห็นใจมาก เขาเสียสละของเขา เขาทำใจได้ของเขา เขาจำได้ของเขา เขาหัวเราะได้ เขายิ้มได้แม้แต่เมื่อเวลาภัย

นี่เวลาเราฝึกฝนของเรา เวลาถ้าภัยมา เราจะหัวเราะของเราได้ เราจะยิ้มได้ เราสู้สิ่งนี้ได้ เวลาภัยมา เห็นไหม จะมั่งมีศรีสุข จะทุกข์ทนเข็ญใจ กระดาษกินไม่ได้นะ แบงก์กินไม่ได้หรอก มันต้องหาอาหารมา อาหารมันก็ไม่มีจะกิน ถ้าทุกอย่างไม่มีจะกิน เวลาทุกข์ขึ้นมา จะเข้าใจว่าคนเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม มีปากมีท้องเหมือนกัน ต้องพึ่งพาอาศัย ต้องอาศัยปัจจัย ๔ เป็นสิ่งดำรงชีวิตเหมือนกัน

สิ่งที่ดำรงชีวิตเหมือนกัน แล้วถ้าเวลามันตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา เห็นไหม เราจะเห็นใจกันไหม? ถ้าเราเห็นใจกัน เราทุกข์เหมือนกัน มันจะย้อนกลับมาไง ด้วยความที่กิเลสมันไม่เบียดเบียนตนและเบียดเบียนคนอื่น มันเบียดเบียนตนนะ เวลามันเบียดเบียนตน เห็นไหม เวลาเราทุกข์เรายากมันจะน้อยเนื้อต่ำใจ น้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น?

หลวงตาท่านสอนบ่อย สอนบอกว่า “เราทำบุญกุศลของเรา เวลาตกทุกข์ได้ยากมันจะมีคนมาเจือจาน” เห็นไหม

ถ้าเวลาตกทุกข์ได้ยาก คนเจือจานมันมีเหตุมีผลของมันนะ นี่อุบัติเหตุคือกรรม อุบัติเหตุที่มันเกิดขึ้น นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา มันมีคนพลัดหลงมาช่วยเราไง ถ้าพลัดหลงมา อะไรมานี่บุญมันจะเกื้อหนุน ถ้าว่ามีบุญนะ แต่ถ้าเวลาเราทำของเรา บุญของเรามันมาไม่ถึง ถึงคราววิบากของเราสิ่งนี้มันเตือนเราไง

เวลาเตือนเรา เห็นไหม ดูสิเวลาโลกเป็นอย่างนั้น นี่ดูข้างนอกแล้วก็ดูข้างใน เวลาธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติคือภัยพิบัติ ใครก็เอาไว้ไม่อยู่หรอก คำว่าเอาไม่อยู่ นี่เราจะเตรียมตัวขนาดไหน เราจะทำอย่างใดนะ มันหลาก มันท่วมไปหมด ถ้าหลากไป เห็นไหม รถติด นี่ภัยพิบัติต่างๆ ไม่มีคนจนคนรวยนะ โดนเสมอภาคกัน นี้เวลาธรรมชาติๆ เวลามันให้ผลมันให้ผลเป็นธรรมชาติหมดแหละ มันให้ผลเสมอกัน

นี่น้ำไหลลงที่ต่ำโดยธรรมชาติของมัน ใครอยู่ที่ลุ่ม ใครอยู่ต่างๆ มันเป็นไปของมัน เห็นไหม มันเป็นของมัน นี่แล้วเรามีปัญญาไหมล่ะ? เราฉลาดพอไหม? ถ้าเราไม่ฉลาดพอเราไปขวางมันทำไม? ถ้าเราไปขวางมันนะ สิ่งนั้นถ้าไม่มีปัญญาขึ้นมา เวลามีปัญญาขึ้นมามันทำให้เรามีสติ พอมีสติปัญญาขึ้นมา มีสติมันก็มีปัญญาต่อเนื่องขึ้นไป

ดูจากข้างนอกแล้วย้อนกลับมาดูข้างใน ถ้าย้อนกลับมาดูข้างใน เห็นไหม นี่ย้อนกลับมาดูข้างใน สิ่งที่เป็นธรรมชาติมันท่วมท้นไป มันเป็นธรรมชาติของมัน เวลาการเกิดการตายนี้ก็เป็นธรรมชาติของมัน เวลากิเลสเกิดมันก็เป็นธรรมชาติของมันนะ เวลากิเลสเกิดมันเกิดมาจากไหน? มันก็เกิดมาจากใจนั้นแหละ เวลาธรรมะมันเกิดมาจากไหน? มันก็เกิดมาจากใจนั้นแหละ แล้วใจที่มันมีอยู่นี่ ใจนี้มันเป็นอะไร?

นี่ดูสิจิตนี้ไม่เคยตาย เวียนตายเวียนเกิดไป เห็นไหม เวลาคนสร้างบุญญาธิการมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งที่เป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทำแต่คุณงามความดีมาทั้งนั้นเลย ดูสิเป็นพระเวสสันดร ดูชูชก ชูชกเขาเป็นอะไร? ชูชกเขาเป็นขอทาน ชูชกเขาเป็นคนที่ไม่มีอาชีพ นี้เป็นถึงกษัตริย์ นี่เขาขออะไรยอมเขาไปหมดเลย ยอมเขาไปหมดเลย เห็นไหม

การเสียสละขนาดนั้น เวลาการเสียสละ เพราะว่าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติสุดท้ายนะต้องเสียสละลูก เสียสละเมีย ทุกองค์ เพราะอะไร? นี่ในการผลิตภัณฑ์ของเรา ลูก เมียนี่ตรงข้าม สามี ลูก นี่มันเป็นสิ่งที่ยึดมั่นมาก โพธิญาณเห็นไหม มันต้องมีสิ่งนี้ นี่มันต้องมาถึงตรงนี้ ถ้าถึงตรงนี้ต้องเสียสละ แล้วการเสียสละนี่เสียสละไปโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เสียสละไปด้วยมันยังมีกิเลสอยู่ใช่ไหม?

นี่พระเวสสันดรมีกิเลสไหม? มี แล้วมีกิเลส มีความผูกพันไหม? มี แล้วความผูกพันนี่ แต่กิเลส เห็นไหม ดูสิคุณงามความดี กุศล สร้างคุณงามความดีมาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วกุศล นี่กุศล อกุศล กุศลมันเป็นความรับผิดชอบ เป็นผู้ที่รับผิดชอบ แล้วเขามาขอลูกขอเมียไป โดยที่เขากระชากหัวใจไปมันทุกข์ไหม? แล้วถ้ามันทุกข์เสียสละทำไม?

ถ้ามันต้องเสียสละจนที่เรารับไม่ได้ เราจะยอมเสียสละไหม? แต่ทำไมยอมเสียสละล่ะ? เพราะเขามีพื้นมา เพราะเขาสร้างของเขามา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างมาตลอดจนจิตใจมีกำลังมีความเข้มแข็ง ยอมเสียสละได้ เสียสละได้ เวลาเสียสละขึ้นไปแล้ว

นี่ย้อนกลับไปเวลาเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเสียสละกัณหา ชาลี เห็นไหม กัณหาแบบว่าคิดอกุศล คิดว่าพ่อไม่รักเรา พ่อไม่รักเรา เวลาเกิดมา มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นี่นางพิมพา สามเณรราหุล แล้วหายไปไหนล่ะ? หายไปไหนคนหนึ่ง ก็ไปเกิดเป็นนางอุบลวรรณา เห็นไหม

เพราะนี่จิตใจเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าขอไปแล้ว ถ้าขอแล้วเขากระชากหัวใจไป ถ้าเรารักษาใจเราได้ โดยคงเส้นคงวาได้บุญกุศลมันมาเต็ม ถ้าเรารักษาหัวใจของเราไม่ได้ ไม่คงเส้นคงวา เห็นไหม มันหลุดออกไป หลุดออกไป หลุดไปเกิดเป็นนางอุบลวรรณาก็มาเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่มันหลุดออกไป นี่สหชาติ การเสียสละ การกระทำของโลก

นี้การกระทำของโลกนะ แล้วโลกมันเป็นแบบนั้น ถ้าโลกเป็นแบบนั้น เวลามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากย้อนกลับมานะ ย้อนกลับมาในหัวใจของเรา นี่ดูสิ่งข้างนอก ข้างนอกมันเป็นแบบนี้ เวลาเกิดภัยพิบัติ เกิดต่างๆ ขึ้นมา เห็นไหม ทุกข์ไหม? ทุกข์ เสียใจไหม? เสียใจ แต่ถ้ามีหลักขึ้นมานี่มันเป็นเครื่องเตือนเรานะ เป็นเครื่องเตือนสติเรา แล้วเวลากิเลสท่วมท้นในหัวใจล่ะ? เวลามันหลากท้นในหัวใจใครจะช่วยเหลือเราล่ะ? ใครจะช่วยเหลือเรา?

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม”

เวลาเราจะได้จะเสีย เห็นไหม คำว่าจะได้จะเสีย เวลาน้ำหลาก เวลาเกิดภัยพิบัติขึ้นมานี่มันเสมอภาค ทุกข์ด้วยกัน แต่ถ้าใครฉลาด นี่เวลาเราไปช่วยเหลือเจือจานเขา เวลาเขาทุกข์ทนเข็ญใจ เขาจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน แต่เวลาภัยพิบัติมาเขาช่วยตัวเองไม่ได้ เราไปช่วยเหลือเขา เราไปเจือจานเขา เขายิ้มแย้มแจ่มใส คนจะทุกข์จะยาก แล้วมีคนมาช่วยเหลือเจือจานมันฝังใจนะ แล้วเราเห็นความยิ้มแย้มแจ่มใสของเขา นี่สิ่งนี้มีค่ามากนะ สิ่งที่มีค่ามาก ถ้าสิ่งนี้มีค่าขึ้นมาแล้วมันเกิดธรรมสังเวช ถ้าเกิดธรรมสังเวชมันเตือนเรา

เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน เห็นไหม มรณานุสติ มรณานุสติมันเตือนเราๆ พอเตือนเราขึ้นมา นี่มันเตือนขึ้นมาให้เราช่วยเหลือกัน เวลาเราไปช่วยเหลือเจือจานโลก เราช่วยเหลือเจือจานกันด้วยน้ำพักน้ำแรง เวลาเราช่วยเหลือเจือจานเราเองนะ มรรคญาณ ถ้าไม่มีมรรคญาณนี่จะพ้นกิเลสไม่ได้ เราจะช่วยเหลือตัวเราเองไม่ได้ ถ้าเราจะช่วยเหลือตัวเราเอง เห็นไหม เราต้องตั้งสติ ต้องเข้มแข็งมากนะ

ดูสิเวลาหลวงตาท่านพูดนะ “ถ้ามีสติ ฝ่ามือนี่สามารถกั้นลมพายุได้”

ฝ่ามือ เห็นไหม ฝ่ามือเราสามารถกั้นพายุ คลื่นในทะเลเรากั้นมันได้อย่างไร? เวลาคลื่นมันพัดซัดเข้าหาฝั่ง นี้เวลามันคลื่นซัดหัวใจเรา เวลาเราตั้งสติของเรา เราพยายามจะทำของเรา นี่มันซัดมานะ น้อยเนื้อต่ำใจนะ เรามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากเพราะอะไรล่ะ?

ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เป็นพระเวสสันดรเสียสละหมด เสียสละแม้แต่สถานะที่จะได้เป็นกษัตริย์ นี่เขาขอนะ ขอช้างศึก สิ่งที่เขาขอ นี่ถ้าเป็นกษัตริย์ สิ่งที่เป็นกำลังกองทัพต่างๆ มันส่งเสริมสถานะของกษัตริย์ให้มั่นคง แล้วเขาขอไปทีละอย่างๆ ให้มันคลอนแคลนกันไปหมด ทำไมท่านให้ล่ะ? ท่านให้ๆๆ ให้ไปแล้วนะ ให้ทั้งนั้นเลย จนสุดท้ายนะประชาชนทนไม่ไหวไล่ออกจากราชวังไปเลย ท่านก็ไปอยู่ป่าอยู่เขาของท่าน

นี่การเสียสละของท่านมา เห็นไหม แล้วเวลาจิตใจเข้มแข็งขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งต่างๆ มันมีของมันมา เราก็เหมือนกัน เวลาเราจะมาปฏิบัติ เราคิดว่าเราปฏิบัติเพราะอะไร? เราเป็นสาวก สาวกะ เราได้ยินได้ฟังขึ้นมา พอได้ยินได้ฟังขึ้นมา เราปฏิบัติไปแล้ว นี่ทางโลกต้องเป็นวิทยาศาสตร์ มันต้องให้ค่าตามนั้น ตามสูตรทฤษฎีมันต้องให้ค่าตามนั้น แต่เวลามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวรกรรมมันให้ค่านะ

สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ค่าตามนั้น แต่เวรกรรมของคน กำลังของคน จิตของคน ความมุมานะของคน ถ้าความมุมานะของคน สิ่งที่มันมีสติปัญญายับยั้ง มันยับยั้งได้มากน้อยแค่ใด? ถ้ามันยับยั้ง ดูสิอย่างที่เราปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่เขากั้นเป็นกำแพง กั้นเป็นสิ่งต่างๆ เพื่อกั้นน้ำไว้ แล้วก็รอนะ ๗ วัน ๘ วันมันเซาะพังหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำขึ้นมาเราตั้งใจของเรา เราว่าเราจะสิ้นกิเลส เราจะพ้นจากทุกข์ เรามีความจริงจัง เรามีความต่างๆ แล้วมีปัญญาสิ่งใดล่ะ? เราผ่อนคลายสิ่งใด? เราใช้ปัญญาแยกแยะสิ่งใด? เรามาทำสิ่งใดบ้างล่ะ? เราก็ทนเอาเฉยๆ ทนเอาเฉยๆ นี่เวลามันกัดเซาะขึ้นมา เวลามันพังขึ้นมานะ เลิกเถอะ เราทำไม่ได้มันทุกข์มันยาก

นี่จิตใจของคนมีปัญญามากน้อยแค่ไหน? แก้ไขอย่างใด? ถ้าปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราแก้ไขของเรา เห็นไหม ถ้า! ถ้าจิตมันสงบไม่ได้ ทำไมมันถึงสงบไม่ได้? น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน นี่มันมีเหตุมันมีผล พระอาทิตย์ขึ้นมันต้องมีความร้อนแน่นอน ถ้าเรารักษาไฟของเรา เราตั้งน้ำไว้มันต้องเดือดแน่นอน แล้วนี่เราก็พยายามตั้งสติของเรา ทำไมมันไม่เป็นไปล่ะ? ทำไมมันไม่เป็นไป?

ทำไมน้ำมันไม่เดือด ถ้าน้ำไม่เดือดมันเพราะอะไรล่ะ? ก็ไปหวังน้ำเดือดๆ แต่เราไม่ดูไฟของเราเลย เราไม่ดูฟืนของเราเลย เราไม่ดูสิ่งที่เรารักษา นี่น้ำมันจะเดือด มันจะเดือดที่น้ำหรือ? มันต้องเดือดที่อุณหภูมิน้ำ เดือดที่เชื้อเพลิงนั้น ถ้าเชื้อเพลิงนั้นมันมีกำลังขึ้นมาน้ำมันก็เดือด

นี่ก็เหมือนกัน เราก็ว่าจิตไม่สงบ จิตไม่สงบมันคือผลไง แล้วเชื้อเพลิงล่ะ? สติปัญญาอยู่ไหนล่ะ? แล้วทำอย่างไรล่ะ? แล้วถ้ามันทำไม่ได้ ไม่ได้มันต้องมีอุบายสิ เราต้องพลิกแพลงสิ หลวงตาท่านพูดบ่อย ปฏิบัติซื่อบื้อ ปฏิบัติแบบเถรส่องบาตร เห็นไหม ท่านบอกเดินจงกรมธรรมดานะสู้หมาไม่ได้ หมามันมี ๔ ขา มันเดินดีกว่าเราอีก มันวิ่งด้วย เราเดินของเรา เดินไปเดินกลับ เดินเหมือนกับหุ่นยนต์ไง หุ่นยนต์มันมีชีวิตไหม?

นี่เรามีชีวิตนะ เรามีชีวิตเราต้องมีสติปัญญาของเราสิ ถ้ามันไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร? เราต้องหาเหตุหาผล หาเหตุหาผลแล้วมันต้องหาอุบายของมัน ถ้าคนมีสติปัญญามันจะหาอุบายของมัน การปฏิบัตินะมันมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญเป็นเรื่องธรรมดา เจริญแล้วเสื่อมนะ ถ้าเราไม่เจริญมันจะเสื่อมมาได้อย่างไร?

นี่บอกว่าคนนั้นเป็นพระอรหันต์ คนนั้นเป็นพระอริยบุคคล มันไม่มีตั้งแต่ต้นมันจะเป็นได้อย่างไร? มันมีแต่ลมปาก มีแต่การเยินยอ สรรเสริญกัน แล้วมันเป็นความจริงไหมล่ะ? ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันก็เป็นค่าในตัวมันเอง เพชรมันก็คือเพชร หินมันก็คือหิน นี่สิ่งนี้มันมีคุณค่าของตัวมันเอง แล้วใครต้องมารับประกันมัน

สิ่งที่รับประกันว่าเพชรมันต้องสถาบันรับประกันถึงเป็นเพชรใช่ไหม? ถ้าตัวมันเองเป็นเพชรอยู่แล้วต้องมีใครรับประกัน รับประกันเพราะมันมีเพชรอยู่แล้วถึงรับประกันมัน ถ้าไม่เป็นเพชรมันจะรับประกันมันได้อย่างไร? นี่มันก็เป็นการรับประกันมัน ถ้าจิตใจมันเป็นอยู่แล้วทำไมต้องให้ใครมาส่งเสริมเยินยอล่ะ?

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติแล้ว ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว มันเป็นความจริงของมันแล้ว ทำไมต้องให้คนมาส่งเสริมล่ะ? ถ้ามันเป็นจริงมันก็ต้องเป็นจริง ถ้ามันไม่เป็นจริงล่ะ? มันไม่เป็นจริง เห็นไหม มันต้องหาหนทาง ไม่ใช่ซื่อบื้อ ปฏิบัติสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำ ทำอยู่นั่นแหละ เขาเดินจงกรมก็เดินจงกรมกับเขา เขาภาวนาก็ภาวนากับเขา แล้วภาวนาเป็นอย่างไร? ถ้าอย่างนั้นหุ่นยนต์มันทำดีกว่า หุ่นยนต์มันทำทั้งวันตลอด ๒๔ ชั่วโมงเลย มันต้องทำได้มากกว่าเรา แต่มันได้อะไร? ทำแล้วมันเป็นผลประโยชน์ของเจ้าของหุ่นยนต์

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติไปเราก็ทำเป็นเหมือนหุ่นยนต์เลย ทำให้มันเหมือน ทำให้มันเหมือน นี่เดินจงกรมก็มาเดินจงกรม.. เดินจงกรมนี่เขาเดินจงกรมด้วยปัญญา เดินจงกรมเขามีสติปัญญาของเขา อ้าว แลบ แฉลบออกแล้ว เดี๋ยวแวบออกแล้ว ทำไมคิดไปทางนู้น เดี๋ยวคิดไปทางนี้ มันมีสติปัญญาของมัน เห็นไหม นี่น้ำกัดเซาะนะ มันกัดเซาะเอาทำนบนี้พังหมด กั้นไว้แค่ไหนมันก็พัง เพราะแรงดันของน้ำมันมหาศาล

นี่ก็เหมือนกัน แรงดันของกิเลสถ้ามันยังไม่ขึ้นมานะ โอ๋ย.. เมื่อก่อนเป็นคนไม่ดี เป็นคนที่อารมณ์ร้าย เดี๋ยวนี้ปฏิบัติแล้วดี๊ดี เป็นคนดี๊ดี มันยังไม่โดนกิเลสมันไม่ตื่น กิเลสมันยังหลับอยู่ ดี๊ดี ดี๊ดี เป็นไปไม่ได้หรอก เราไม่ได้ถอดถอนนะ ไม่มีทางหมดไปได้ มันปฏิบัติก็เก็บไว้ใต้พรม พยายามกลบเกลื่อนมันไว้ กลบเกลื่อนไว้เป็นคนดี สถานะทางสังคมกลัวเราไม่ดี ยิ่งปฏิบัติด้วยนะ โอ้โฮ เป็นคนดี

ปฏิบัติดีหรือไม่ดีเรารู้นะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้าเราดีเราต้องรู้สิว่าเรามีความร่มเย็นแค่ไหน? ถ้ามันไม่ร่มเย็น ไม่ร่มเย็นก็เราเป็นสาวก สาวกะ เราก็รู้อยู่ เห็นไหม วัฏฏะนี่การเวียนตายเวียนเกิดมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ซ้ำๆ ซากๆ แล้วถ้าซ้ำซากขึ้นมา เกิดมาในปัจจุบันนี้มีสติปัญญา แค่เชื่อในพุทธศาสนานี่มีค่ามากนะ ถ้าไม่เชื่อในพุทธศาสนา เราก็ใช้ชีวิตของเราไปเหมือนกับแร่ธาตุ ชีวิตนี้เหมือนแร่ธาตุเลย มีค่าเท่ากับแร่ธาตุ แล้วก็ใช้ให้หมดไป

ดูสิน้ำมันเผาไหม้ก็หมดไป ชีวิตนี้เผาไหม้ก็หมดไป ก็เท่านั้น! แต่เพราะเราเชื่อ เราศรัทธา เสียสละไปเขาบอกว่า โอ้โฮ นี่โง่เนาะ หามาแล้วไม่รู้จักใช้จักสอย เที่ยวไปให้คนอื่น การให้คนอื่น การให้สิ่งนั้นไป แต่ค่าที่ให้ ดูสิเวลาเราช่วยเหลือเขา เขาตกทุกข์ได้ยากนะ เวลาเขาหิวกระหายเอาน้ำไปให้เขาดื่ม แค่ชื่นใจเขาก็ระลึกถึงบุญคุณเราแล้ว

นี่การเสียสละออกไป สิ่งที่เสียสละออกไปเป็นวัตถุที่เราเสียสละได้ ถ้าเสียสละได้ ค่าของน้ำใจมันสูงกว่านั้น ของที่เราหามานี่มีคุณค่ามาก แล้วเราเสียสละออกไปใจเราไม่สูงกว่าหรือ? แล้วผู้ที่รับ เห็นไหม ถ้าใจมันต่ำกว่า รับมาแล้วมือไม้สั่นนะ โอ้โฮ นี้มีค่าๆ จิตใจมันต่ำทรามกว่าคนที่เขาให้ใช่ไหม? ถ้าจิตใจไม่ต่ำทราม สิ่งนี้มันเป็นทานของเขา

ดูสิเวลาสนองศรัทธา เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์เขาพยายามจะอุปัฏฐาก อุปถัมภ์ ดูแล ดูแลเพราะอะไร? เพราะเนื้อนาบุญของเรา เรายิ่งทำเท่าไหร่นะมันยิ่งได้มากของเรา เขาแย่งกัน เขาชิงกันเพราะอะไร? เพราะเขามีปัญญา เขารู้ของเขา แต่คนที่มันโง่ เห็นไหม บอกว่าเราหาแล้วไปให้เขาทำไม? ให้เขาทำไม? เพราะกิเลส นี่ความตระหนี่ถี่เหนียว

พระเวสสันดรทำไมสละได้แม้แต่สถานะเลย สถานะจะได้เป็นกษัตริย์เลย เรานี่ช่วงชิงกันอยากเป็นกษัตริย์ อยากได้มีสถานะ แต่พระโพธิสัตว์ เห็นไหม ดูสิพระเวสสันดรเขายังเสียสละทุกๆ อย่างเลย นี้เป็นพระโพธิสัตว์นะ ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอะไรเลย นี่แสดงว่าจิตใจเข้มแข็งขนาดไหน? จิตใจได้ฝึกฝนมาขนาดไหน?

แล้วพวกเราจิตใจอ่อนแอขนาดไหน? อะไรก็จะละโมบโลภมากเอามาเป็นของเรา มันเป็นของเราแล้วก็ปล่อยให้น้ำท่วมใช่ไหมล่ะ? ขนกันมาไว้แล้วก็ให้น้ำมันท่วมไป พอท่วมไปก็ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ถ้าเสียสละออกไปนี่จิตใจนี้มีค่ามาก ถ้าจิตใจมีค่ามาก นี้พูดถึงจิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่ได้ฝึกฝนมา แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เราต้องมีปัญญา

ถ้าคนที่มีปัญญา เวลาปฏิบัติมา นี่พันธุกรรมของจิต จิตได้สร้างสมมา จิตได้ตัดแต่งมา จิตได้สร้างบุญกุศลมานี่มันคิด แม้แต่ศรัทธาในศาสนา เห็นไหม เราเสียสละทาน เราทำต่างๆ ของๆ เราทั้งนั้นเลย ที่เสียสละออกไปไม่มีสูญหายเลย นี่สิ่งที่เสียสละเป็นวัตถุ มันจะเน่าเสียหายไป แต่สละไปแล้วมันเป็นทิพย์ เป็นทิพย์เพราะอะไร? เพราะเรารู้ไง

คิดถึงสิ่งที่เคยทำมาเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว มันยังสดๆ ร้อนๆ เลย คิดถึงตอนไหนมันก็สดๆ ร้อนๆ แล้วเวลาตายไปนี่ที่เป็นทิพย์ๆ มันไปไหนล่ะ? เทวดาที่เขาอยู่อาศัยด้วยทิพย์ของเขาอยู่ที่ไหนล่ะ? มนุษย์ต้องกินข้าวปลาอาหารนะ เทวดาเขาไม่ต้องกิน เขากินบุญของเขา แล้วเราไม่ทำอะไรเลยเราไปเกิดเป็นอะไร? ก็นรกอเวจีไง เขาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ของเขาไปเสวยทิพย์ ไอ้เราก็เป็นทิพย์เหมือนกัน ทิพย์ทางลบไง ลงนรกอเวจีไปเสวยแต่ทุกข์ไง

นี้พูดถึงถ้าโง่ ถ้าฉลาดนะ แม้แต่เชื่อในศาสนามันก็มีหลักมีเกณฑ์แล้ว แล้วเชื่อในศาสนานะ นี้ศรัทธา ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ แต่ศรัทธาเป็นหัวรถจักรดึงให้เราเข้ามาศึกษา พอศึกษา เห็นไหม ศึกษาแล้วเราต้องดัดแปลงของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครชี้ทาง

ชี้ทางหมายถึงบอกถึงธรรมวินัย ถึงสิ่งที่เป็นมรรคญาณที่จะเข้าไปสู่ใจ ถ้าไม่มีคนชี้ ไม่มีคนบอกเราตายเลย นี่ขนาดมีคนชี้คนบอกนะ ยังเดินโง่กว่าหมา ทำโง่กว่าหมา ถ้ามันฉลาดกว่าหมามันต้องได้ผลของมัน ถ้าได้ผลของมันนะ เราทำของเรา แก้ไขของเรา ทำของเราขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ

“อานนท์ เธอบอกเขาเถิด ปฏิบัติบูชาเราดีกว่าอามิสบูชานะ”

นี่เราอามิสบูชา เพราะเราแสวงหา เห็นไหม สามเส้า นี่ทาน ศีล ภาวนา เพื่อความมั่นคงของใจ ถ้ามีทาน มันได้ตอกย้ำให้เรามั่นคง เราได้ฟังธรรม ได้เตือนสติ ให้มั่นคงในศาสนา ถ้าเราไม่มีการทำทาน ถ้าทำทานก็ได้ฟังธรรม ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเราก็อยู่กับโลก กิเลสมันก็ท่วมท้น แล้วมันก็จะซัดจนหายไป

แต่ถ้าเรามีทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม ทานเราได้เสียสละแล้ว รักษาศีล ศีลคือความปกติของใจ แล้วถ้าเราภาวนาของเราขึ้นมา นี่มันจะท่วมมาจากไหน? เวลาท่วมขึ้นมา ท่วมมาทางโลก ท่วมมาแล้วมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความเสมอภาค แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่จะล่วงพ้นด้วยความเพียรของแต่ละบุคคล

บุคคลคนใดทำหัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นสิ้นกิเลสไป จะเป็นเฉพาะหัวใจดวงนั้น ถ้าสิ้นกิเลสไป นี่ธรรมะส่วนบุคคล เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมะสาธารณะ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยเป็นสาธารณะ เหมือนน้ำนี่ทุกคนตักดื่มกินได้ ถ้าใครไม่ตัก ไม่ดื่ม ไม่กิน คนๆ นั้นก็จะไม่ได้ประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เราตักตวงของเราขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันตักตวงขึ้นมาในหัวใจของเรา เห็นไหม นี่มันจะเป็นของๆ เรา ถ้าเป็นของๆ เรานะ จิตใจดวงนั้นเป็นอมตธรรม ถ้าจิตใจดวงนั้นเป็นอมตธรรม ทำไมจะชี้บอกคนไม่ได้ ทำไมจะเป็นที่พึ่งของคนไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้องค์เดียว เห็นไหม เป็นครูของเทวดา เป็นครูของวัฏฏะ แล้วจิตใจของเรา ถ้าเราทำได้เราจะบอกใครได้ไหม? เราจะเป็นที่พึ่งของเขาได้ไหม? ถ้าเป็นที่พึ่งได้เราต้องเป็นที่พึ่งของเราเองก่อน เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่จะเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม เวลามันจะเป็นจะตายขึ้นมานะ นี่กรรมฐาน เวลาจะเป็นจะตายขึ้นมามันเอาตายเข้ามาหลอกทั้งนั้นแหละ เวลาถึงวิกฤติแล้วนะ มันบอกตายๆๆๆ ทุกคนจะล้มเลิกหมด

นี่เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ถ้าเสียสละทุกอย่างมันจะได้ธรรมมา ถ้าได้ธรรมนี้มาแล้ว เห็นไหม นี่จบกันที การเกิดและการตายจบกันที จบกันที มันรู้ด้วยว่าเกิดเพราะอะไร? ตายเพราะอะไร? เพราะมันไม่รู้ว่าการเกิดและการตายมันจะจบได้อย่างไร? มันจบของมันแล้ว เห็นไหม สิ่งๆ นี้เป็นผลของวัฏฏะ การปฏิบัตินี้เป็นผลของวัฏฏะ เราถึงมองโลก โลกเป็นแบบนี้ ถึงยุคถึงคราวมันจะเป็นแบบนี้ แล้วเราจะอยู่กับโลก แล้วเราจะมีหลักเกณฑ์ของเราไหม? เราจะเกิดมาซ้ำมาซากอย่างนี้ไหม?

มันมาเตือนเรานะ เตือนเราให้เราขวนขวาย เตือนเราให้เห็นคุณค่าของชีวิต ขณะนี้มีชีวิต เราต้องรักษาประโยชน์ของเรา รักษานะ ชีวิตนี้มีค่าที่สุด เพราะชีวิตนี้ ธาตุรู้นี้เป็นผู้บรรลุธรรม ธาตุรู้นี้รับรู้สุข รับรู้ทุกข์ รู้ทุกอย่าง แต่ปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยแค่ดำรงชีวิต ฉะนั้น เราต้องมีสติปัญญาเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง